Thermage คือ

เทอร์มาจ คือเทคโนโลยีกระชับรูปร่าง ใบหน้า และบริเวณดวงตาด้วยคลื่นวิทยุ RF (Radiofrequency) คลื่นความถี่สูงชนิดขั้วเดียว โดยส่งคลื่นเข้าไปชั้นผิวที่ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้หรือชั้น Dermis ที่อยู่ของคอลลาเจน อิลาสติน และไขมัน เพื่อทำให้เกิดการหดตัวของคอลลาเจน และสลายไขมันในชั้นผิว จึงทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยจากชั้นไขมันมีความกระชับได้รูป พร้อมกับการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวมีความอิ่มฟู ดูเรียบเนียน รูขุมขนเล็กลง แถมผิวยังดูกระชับ โดยจะสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกหลังทำ 10 – 20%* และจะค่อยๆเห็นผลถึงความกระชับที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปประมาณสองเดือน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง ได้รับการรับรองจากสถาบันรับรองมาตรฐานองค์การอาหารและยาจากสหรัฐอเมริกา (US FDA)

Thermage มีกี่แบบ

เทอร์มาจรุ่นแรกที่ถูกพัฒนามาใช้สำหรับกระชับผิวหน้าและดวงตาคือ Thermage TC  ก่อนจะเริ่มมีการพัฒนาต่อมาคือ Thermage NXT ซึ่งเป็นรุ่นที่สำหรับกระชับผิวบริเวณอื่นเพิ่มเติม ปัจจุบันรุ่นนำเข้ามาใช้ในประเทศไทยมาอย่างยาวนานและถือเป็นรุ่นพื้นฐานคือ Thermage CTP ก่อนจะมีพัฒนามาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Thermage FLX ที่ถือเป็นรุ่นที่ 4 ของเทอร์มาจแล้ว และกำลังจะเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะมีความแตกต่างและพัฒนาจากรุ่นเดิมค่อนข้างมาก ทั้งในด้านของเวลาและความเจ็บที่เกิดบนผิว การเบิร์นผิว  และความสบายในระหว่างที่ทำ

Thermage FLX กับ Thermage CTP แตกต่างกันอย่างไร

• Thermage FLX มีการแสดงผลของเซนเซอร์ความร้อน Accurep ที่ส่งลงมาบนผิวตาม Shot ที่ยิง ในขณะที่ Thermage CTP จะยังไม่มีระบบนี้
• Thermage FLX มีระบบโฟกัสแบบ Real Time จึงให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำกว่า Thermage CTP
• ระยะเวลาในการทำหัตถการของ Thermage FLX เร็วกว่า Thermage CTP ประมาณ 25%*
• มีระบบ Pre and Post Cooling ที่จะส่งความเย็นออกมาระหว่างปล่อยพลังงาน ช่วยลดโอกาสการเกิดผิวไหม้ และช่วยให้มีความสบายผิวระหว่างทำ ส่วน Thermage CTP จะมีแต่ระบบ Pre Cooling จึงต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์เป็นหลัก

Thermage FLX กับ Ulthera แตกต่างกันอย่างไร

หลายคนอาจเคยสงสัยว่าระหว่างอัลเทอร่ากับเทอร์มาจ มีความแตกต่างกันอย่างไร เพราะทั้งสองหัตถการต่างก็ช่วยในเรื่องกระชับผิวและไม่ต้องผ่าตัดเหมือนกัน  เราจึงนำมาเปรียบเทียบกันแบบข้อต่อข้อ เพื่อให้เห็นความแตกต่างกันอย่างชัดๆ

• Thermage flx ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ ซึ่งเป็นคลื่นความถี่สูงชนิดขั้วเดียว RF (Radiofrequency) ในขณะที่ Ulthera ใช้พลังงานคลื่นเสียง ที่เป็นความถี่สูงและเฉพาะเจาะจง FU (Focus Ultrasound)
• Thermage flx จะส่งพลังงานไปถึงชั้น Dermis ซึ่งเป็นชั้นหนังแท้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของคอลลาเจนและอิลาสติน ส่วน Ulthera จะยิงได้ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่หมอใช้ในการผ่าตัด 
• Thermage flx จะให้ความรู้สึกอุ่นๆ สบายผิวระหว่างทำ ในขณะที่ Ulthera จะมีความเจ็บนิดๆที่บริเวณผิวคล้ายกับโดนดีด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพลังงานที่ส่งไปยังชั้นผิวเป็นหลัก
• Thermage flx เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันเยอะ ผิวไม่กระชับ ต้องการลดไขมัน เพิ่มความเรียบเนียนของผิว รูขุมขนดูกระชับมากขึ้น ส่วน Ulthera จะเน้นไปในเรื่องกระชับผิวสำหรับผู้มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ให้ดูเต่งตึง อ่อนเยาว์ขึ้น

การทำงานของ Thermage FLX ที่บริเวณดวงตา

เทอร์มาจ บริเวณดวงตา ถือเป็นบริเวณที่บอบบางและสามารถเกิดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย  เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทค่อนข้างมาก ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการโบท็อกซ์หรือหัตถการอื่นๆดังนั้นการทำเทอร์มาจที่บริเวณดวงตาและรอบดวงตา จึงตอบโจทย์การแก้ปัญหาริ้วรอย รอบดวงตาที่มีความหย่อนคล้อยได้ค่อนข้างดี อีกทั้งยังทำให้ใต้ตาและเปลือกตามีความสดใสมากขึ้น โดยหัวเทอร์มาจที่ใช้จะเป็นหัวขนาดพิเศษ ที่ออกแบบมาเพื่อการดูแลรอบดวงตาโดยเฉพาะ จึงทำให้สามารถเข้าถึงรายละเอียดบริเวณริ้วรอยเล็กๆได้ ซึ่งจะนอกจากจะแก้เรื่องริ้วรอยแล้ว ยังช่วยในเรื่องของปรับพื้นผิวให้ดูกระชับด้วย

ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา เกิดจากอะไร

เมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาผิวหนังก็เริ่มเข้ามาทักทายกันอย่างพร้อมเพียง เกิดเป็นความไม่มั่นใจ ดูมีอายุ อีกทั้งยังถูกใช้ในการแสดงสีหน้า การแสดงอารมณ์มากกว่าส่วนอื่นๆ แต่บางครั้งปัญหาก็เกิดจากการที่พักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ความเครียด ผิวขาดการบำรุงจนขาดความชุ่มชื้น มลภาวะแสงแดด การเป็นภูมิแพ้ หรือกรรมพันธุ์ โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณดวงตาและเปลือกตาที่จะสูญเสียคอลลาเจนได้รวดเร็วมากกว่าบริเวณอื่นๆเนื่องจากเป็นบริเวณที่บอบบาง และได้รับการสัมผัสบ่อยครั้ง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ นอกจากจะทำให้บริเวณดวงตามีริ้วรอยได้ง่ายแล้ว ยังเกิดเป็นความหมองคล้ำ เบ้าตาดูลึก และดวงตาดูไม่สดใสได้อีกด้วย 

Thermage FLX ตา ข้อดี

• สามารถแก้ปัญหาผิวบริเวณเปลือกตาบนที่มีความหย่อนคล้อยได้ โดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัด
• กระชับผิวบริเวณรายละเอียดเล็กๆรอบดวงตาทุกตารางมิลลิเมตร ทั้งบริเวณชิดขอบเปลือกตาล่างและเปลือกตาบน มุมหัวตาและหางตา ซึ่งเป็นบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์หรือทำหัตถการไม่ได้
• ลดรอยหมองคล้ำที่ใต้ตาและเปลือกตาได้เป็นอย่างดี
• ชะลอร่องรอยและริ้วรอยแห่งวัยที่เพิ่มขึ้น*
• ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์จากเดิม
• กระชับผิวเปลือกตา ให้เปลือกตาดูสดใส มีความคมชัด 
• ยกตาสองชั้นที่ไม่ชัดให้ดูชัดขึ้น*
• เพิ่มความเรียบเนียนรอบดวงตา ให้ดวงตามีความกระจ่างใส 
• กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินที่บริเวณรอบดวงตา ทำให้ช่วยให้ดวงตามีความอิ่มเอิบ   และดูมีความสดใส

ข้อควรปฏิบัติก่อน-ระหว่าง-หลัง รับบริการ

การเตรียมตัวก่อนทำ Thermage FLX ตา

สำหรับการทำ Thermage FLX ตานั้น ไม่จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวเป็นพิเศษ อาจจะเป็นการบำรุงผิว พักผ่อน และดื่มน้ำให้เพียงพอ แต่ถ้าหากมีการทำหัตถการอื่นมาก่อน อาทิฉีดฟิลเลอร์ ร้อยไหม หรือหัตถการอื่นๆบริเวณใบหน้า ดังนั้นหากใครที่ได้ทำหัตการเหล่านั้นไว้ก็ควรเว้นระยะห่างก่อนเข้ามาทำสักพัก หรือแจ้งกับแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ให้การดูแลก่อนให้เรียบร้อย เพื่อที่จะทำการประเมินความพร้อมผิวและตรวจสอบว่าหัตการที่ทำมาก่อนหน้า สามารถทำไปพร้อมกับการเทอร์มาจได้หรือไม่ 

ขั้นตอนทำ Thermage FLX ตา

1. แพทย์จะมีการประเมินบริเวณที่จะทำหัตถการ แจ้งข้อมูล และอธิบายขั้นตอนการทำ
2. ทำความสะอาดผิวบริเวณใบหน้าและรอบดวงตาจนสะอาด 
3. แปะยาชาบริเวณที่ทำ โดยทิ้งระยะเวลาไว้ประมาณ 30 นาที
4. แพทย์ทำการปล่อยพลังงานจากเครื่องเข้าสู่ผิว โดยจะใช้ระยะเวลาทำประมาณ 30 – 45 นาที โดยระหว่างทำจะมีความรู้สึกอุ่นๆ สบายๆ ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ
5. ตรวจดูผลลัพธ์หลังทำ 

การดูแลตัวเองหลังทำ Thermage FLX

หลังทำ Thermage FLX ตา สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยไม่จำเป็นต้องพักฟื้น แต่อาจจะมีการบำรุงผิวเพื่มความชุ่มชื้น ประคบเย็น หรือลดความร้อนที่อาจมีการสะสมอยู่ที่ชั้นใต้ผิว และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้ผิวเกิดความร้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปะทะแสงแดด การอบซาวน่า สตรีม รวมไปถึงควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันแสงยูวีที่อาจเข้ามาทำลายผิว

Thermage FLX ตา ควรทำกี่ครั้ง

โดยปกติแล้ว หลังทำ Thermage FLX ตา ก็จะเริ่มเห็นผลลัพธ์หลังทำในทันที* อยู่ประมาณ 20 – 30% โดยจะรู้สึกว่าผิวมีความกระชับ และจะเริ่มเห็นผลที่ชัดเจนแตกต่างจากเดิมอยู่ที่ระยะประมาณ 2 – 3 เดือน และอาจทำเพิ่มได้หลังจากนั้นหากต้องการเห็นความชัดเจนมากยิ่งขึ้น   โดยสามารถทำซ้ำได้ปีละ 1 ครั้ง เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้คงเดิม